|

ชุมชนเตรียมรับมือจากภัยพิบัติน้ำสู่การสู้ “ไฟ” ปลายปี

ภาพเหตุการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม บ้านเรือน ที่ทำกิน การสูญหาย และการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงภัยพิบัติในหลาย ๆ พื้นที่ในภาคเหนือเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น แต่ดูเหมือนว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความถี่ และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่เฉพาะประเทศไทย แต่เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นทั่วโลก โลกกำลังบอกอะไรกับเราบ้าง แล้วเราจะเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้อย่างไร

หมดฤดูน้ำก็จะเข้าสู่ฤดูฝุ่นไฟอย่างจริงจังในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าเป็นจำนวนมากรองจาก จ.แม่ฮ่องสอน คือถึงร้อยละ 68-69 % ของพื้นที่ ประมาณกว่า 9 ล้านไร่ และมีชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกับป่าเป็นจำนวนถึง 1,171 ชุมชน (ข้อมูลของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) ภาระงานอันหนักหน่วงในการเฝ้าระวังไฟป่า ไฟลักลอบจุด ไฟความขัดแย้ง และไฟสารพัดแบบที่เกิดขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตามกลายเป็นภาระที่ชุมชนใกล้ป่าต้องเป็นผู้รับแรงกดดันนั้น แม้ว่าชุมชนจะไม่ได้เป็นผู้จุดไฟนั้นก็ตาม โดยมีแผนพัฒนายุทธศาสตร์ตั้งแต่ปี 2568-2570 และในระยะ 5 ปีต่อไปที่ตั้งเป้าหมายให้ค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM2.5 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ พื้นที่เผาไหม้ (Burnt scar) ลดลง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทำให้ในช่วงฤดูฝุ่นไฟ ผู้นำชุมชนหลายชุมชนจึงแทบจะไปไหนไม่ได้ เพราะต้องอยู่ในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังไฟป่า และไฟที่จะเกิดขึ้นใกล้ ๆ บ้านเพราะหากเกิดในพื้นที่ใกล้ ๆ หรือมีไฟหลุดมาจากที่อื่นไหม้ลามมาถึงเขตที่ชุมชนดูแล ไม่ว่าชุมชนจะทำหรือไม่ทำก็กลายเป็นภาระงานที่ต้องแบกไว้ท่ามกลางคำสั่งแบบ Top down นั้นอยู่ดี ขณะเดียวกันก็มีแรงเสียดทานจากการดำเนินวิถีชีวิตบางส่วนที่จำเป็นต้องใช้ “ไฟ” เช่นการทำไร่หมุนเวียน การลดเชื้อเพลิงในป่าเพื่อป้องกันไฟไหม้ลามก่อนก่อนไฟใหญ่ก็ยังต้องการยอมรับ และเข้าใจจากคนทั่วไปด้วย เป็นต้น

แยกแยะไฟไฟดี VS ไฟอันตราย

คนในเมืองพอเห็น “ไฟป่า” สิ่งที่ทุกคนจะคิดถึง “ฝุ่น PM 2.5” เวลามองไฟที่ไหม้ลามเป็นแนวยาวตามสันดอย มักจะคิดว่านั่นคือ “ไฟ” ที่เหมือน ๆ กันหมด ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว “ไฟป่า” ที่เราเห็นมีหลากหลายรูปแบบมาก และไม่ใช่ไฟอันตรายไปทั้งหมด ตามหลักทางวนศาสตร์มันมีทั้ง “ไฟดี” ที่ช่วยลดเชื้อเพลิงที่สะสมมานานหลายปีโดยเฉพาะในป่าผลัดใบ ไฟที่ช่วยป้องกันโรคพืช ฯลฯ และ “ไฟอันตราย” ที่เสี่ยงต่อการไหม้ลามเป็นวงกว้างทั้งมาจากภัยธรรมชาติ มาจากอคติ และความขัดแย้ง ที่ล้วนรอการแก้ไข

ภาพ: สรุปผลการจัดทำข้อมูลประกอบโครงการจัดทำแผนและปฏิบัติการจัดการไฟป่าฝุ่นควันเชิงพื้นที่แบบมีส่วนร่วม รายหมู่บ้าน จ.เชียงใหม่ ประจำปี 2568

จากการทำงานสภาลมหายใจเชียงใหม่ร่วมกับโหนดสสส.แฟล็กชิป มีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการของชุมชนเพื่อเตรียมรับมือฝุ่นไฟจำนวน 20 หมู่บ้านในพื้นที่ 5 ตำบลได้แก่ ต.บ้านปง อ.หางดง  ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง ต.ดอนเปา อ.แม่วาง ต.สะลวง อ.แม่ริม ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง พรหมมา ผู้ประสานงานพื้นที่จากสภาลมหายใจและโหนดสสส.แฟล็กชิปกล่าวว่าจากการติดตามการทำงานในพื้นที่พบว่าจริง ๆ แล้วไฟที่เกิดขึ้นในพื้นที่จำเป็นต้องมีการมองแบบจำแนกแยกแยะ ไม่ใช่มองเป็นไฟอันตรายไปทั้งหมด โดยเท่าที่ลงพื้นที่จะเห็นไฟหลายแบบ เช่น ไฟที่เกิดขึ้นในเขตแดน และเขตติดต่อ ไฟขอบสวน ไฟประมาทหรือพลั้งเผลอ ไฟหวังของป่า เช่น เห็ด และผักหวาน ไฟขัดแย้งและการกลั่นแกล้ง ไฟเคลียร์ป่า ไฟจากการบริหารเชื้อเพลิงที่ผิดพลาด เป็นต้น ซึ่งไฟแต่ละประเภทก็มีทั้งที่ควบคุมได้ เช่น ไฟเขตแดน/ไฟลามเขตติดต่อ มีตัวอย่างชุมชนแม่ฮะ และบ้านปางยางที่ชาวบ้านสามารถป้องกันได้ มีไฟขอบสวนติดป่า ที่บ้านสันปูเลยสามารถออกกฎกติกาควบคุมคนในชุมชนป้องกันไฟได้ ไฟหวังของป่าที่มาจากชุมชนที่ต้องยังชีพจากการหาของป่า มีตัวอย่างชุมชนที่ ต.แม่หอพระ ที่ชาวบ้านมีระเบียบกติการ่วมกัน และควบคุมได้ ไฟจากการหาของป่า เช่น ไข่มดแดง และน้ำผึ้งก็มีตัวอย่างของชุมชนที่ ต.สะลวง และ ต.แม่หอพระที่สามารถควบคุมได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ก็มีไฟประเภทที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ไฟที่เกิดจากความขัดแย้ง ไฟที่มาจากการกลั่นแกล้ง วัยรุ่นคึกคะนองและใช้ยาเสพติด ไฟเพื่อการเคลียร์ป่าที่จะต้องมีทีมดูแลไฟที่มีศักยภาพและคนมีทักษะ มีอุปกรณ์ที่พร้อมเคลื่อนที่เข้าถึงไฟไว เป็นต้น

ปริศนากล่าวว่าทีมทำงานพื้นที่โหนดแฟล็กชิป สสส. และสภาลมหายใจเชียงใหม่พบว่าจากการเก็บข้อมูลของชุมชน 20 พื้นที่ในช่วงฤดูฝุ่นไฟปีที่ผ่านมามีหลายประเด็นที่น่าจะมีการขยายผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการไฟในฤดูฝุ่นไฟที่จะถึงนี้ คือ 1. การที่ชุมชนมีขอบเขตการจัดการไฟที่ชัดเจน และมีการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงไฟทั้งในเขตติดต่อ ไฟป่าที่ข้ามเขตแดน ไฟขอบสวนติดป่า พื้นที่หาเห็ด หน้าผาสูงชัน ฯลฯ และมีการเตรียมวางแนวกันไฟให้ถูกจุดถูกที่ มีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงบางส่วนที่มีเชื้อเพลิงสะสมจำนวนมากเพื่อป้องกันไฟใหญ่ การเตรียมกล้องวงจรปิด การมีชุดลาดตระเวนที่เข้มข้น 2ชุมชนเริ่มมีการจัดตั้งชุดดูแลไฟป่าของชุมชนหลากหลายรูปแบบ เช่น ชุดจิตอาสา ชุดรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน (ชรบ.) กลุ่มคนที่หาของป่าของชุมชนที่ปรับให้มาช่วยดูแลจัดการไฟของชุมชน เป็นต้น และ 3การเตรียมตัวเรื่องความรู้ในการใช้ไฟ และเข้าควบคุมไฟของชุมชน เช่น การดูว่าหัวไฟ-หางไฟอยู่ตรงไหน ความรู้เรื่องทิศทางลม สภาพของเชื้อเพลิง และสภาพของพื้นที่ป่าแต่ละประเภทที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะมีความรู้ที่แตกต่างกัน

เปลี่ยนแผนจัดการไฟแบบ Single command เป็นชุมชนคิดเอง

เมื่อพูดถึงแผน และนโยบายแก้ปัญหาฝุ่นควันในห้วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เรามักจะได้ยินแนวนโยบายของรัฐบาล และจังหวัดที่จะมักจะออกคำสั่งแบบ Top Down แบบด่วน ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสถานการณ์วิกฤติฝุ่น PM2.5 เช่นแผนแบบ Single command เรื่อง Zero Burning ปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่แก้ไขปัญหาใด ๆ และแผนก็มักจะลอยมาทุกครั้งที่ค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งสูง ทำให้ผู้นำชุมชน หน่วยงานท้องถิ่นเกิดความลำบากใจในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหา จึงเริ่มมีการริเริ่มในหลาย ๆ พื้นที่ที่จะกลับมาพูดถึงการทำงานที่เปลี่ยนใหม่เป็นการทำงานจาก “ล่างขึ้นบน” หรือจากการที่ชุมชนคิดกันขึ้นมาเองให้สอดคล้องกับพื้นที่ตัวเองที่ต้องยอมรับว่าแต่ละพื้นที่มีสภาพพื้นที่ ประเภทของป่าไม้ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันเลย

ประสงค์ ร่มพนาธรรม ชาวม้งบ้านห้วยเนียม ต.ดอนเปา อ.แม่วางหนึ่งใน 20 ชุมชนนำร่องที่เริ่มจัดทำแผนของชุมชนเองกล่าวว่าปีที่ผ่านมาหมู่บ้านห้วยเนียมมีการทำประชาคมหมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนมาตกลงร่วมกันว่าจะทำแผนป้องกันไฟป่าอย่างไร โดยที่ในชุมชนจะมีกลุ่มคนที่มีหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันทั้งคนม้ง กะเหรี่ยง และคนเมืองจึงต้องมีการสร้างข้อตกลงร่วมกันเพื่อช่วยกันป้องกันไฟลักลอบจุดที่อยู่รอบ ๆ ชุมชน และวางระเบียบกฎกติการ่วมกัน ไม่ให้ไฟลุกลามมาที่ชุมชน และเข้าเขตป่าที่ชาวบ้านร่วมกันดูแล เช่นเดียวกับที่บ้านแม่ฮะเหนือ ต.บ้านปง อ.หางดง อนงค์ วงศ์ษา ก็พูดถึงความจำเป็นที่ชุมชนจำเป็นจะต้องมีแผนของตัวเองว่าปีที่ผ่านมาชุมชนต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการที่ไม่สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงได้เพราะมีนโยบายห้ามเผา ชุมชนก็เลยต้องออกแบบแผนการจัดการใหม่ด้วยการไปทำแนวกันไฟแบบซอยแปลงย่อยมากขึ้นเพื่อป้องกันไฟป่า ถ้าหากชุมชนไม่ปรับแผนและรับแต่คำสั่งจากทางจังหวัด ชุมชนก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ได้ เป็นต้น

จากการพูดคุยกับชุมชนที่ริเริ่มทำแผนจัดการไฟของกลุ่ม 20 หมู่บ้านของโหนดแฟล็กชิป สสส.และสภาลมหายใจเชียงใหม่พบว่ามีรายละเอียดหลัก ๆ ซึ่งจะกำหนดช่วงเวลาสำหรับการทำงานของชุมชนเพื่อจัดการไฟเป็น 3 ช่วงเวลาคือ 1. ช่วงเตรียมการ  เช่น อาจจะมีการประชุมหารือกันในหมู่บ้าน เตรียมระดมทุน หางบประมาณ หารือกับหมู่บ้านใกล้เคียง ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้  เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในพื้นที่  รวมไปถึงการสำรวจว่าพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ก็จะมีการวางแผนเพื่อที่รับมือก่อนฤดูฝุ่นจะมาถึง และเป็นการเตรียมพื้นที่เพื่อป้องกันไฟป่า เช่น ไปทำแนวกันไฟ คือการแบ่งเชื้อเพลิงออกจากกัน บางทีก็จะวางเอาไว้ในพื้นที่สำคัญ เข้าถึงยาก อย่างพื้นที่สุญญากาศ และการเตรียมพื้นที่มันเป็นการลดเชื้อเพลิงในป่าที่มีการสะสมเชื้อเพลิงมาก เป็นการเสี่ยงต่อการเกิดไฟใหญ่ด้วย 2. ช่วงเผชิญเหตุ ช่วงนี้หลายหมู่บ้านจะต้องมีการจัดเวรยามคอยเฝ้าระวังไฟที่จะเกิดขึ้นเกือบตลอด 5 เดือน เป็นช่วงเวลาที่งานหนักที่สุด  หลายหมู่บ้าน ผู้นำชุมชนแทบจะไปไหนไม่ได้เลย รวมถึงบางคนที่เข้าไปดับไฟป่าก็อาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และ 3. ช่วงหลังเกิดเหตุ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่จะเป็นการฟื้นฟูป่าจากไฟไหม้ป่า รวมถึงเป็นการถอดบทเรียน สรุปบทเรียนการดำเนินการแผนทั้งหมด

ตัวอย่างข้อตกลงที่น่าสนใจที่ริเริ่มโดยชุมชน เช่น บ้านห้วยส้มสุก ต.เมืองก๊ะ อ.แม่ริม จะมีการแจ้งชุมชนให้ช่วยกันบริหารสวนโดยการไม่เผาโดยเฉพาะช่วงที่มีการห้ามเผาตามประกาศของจังหวัด หากใครที่จำเป็นต้องแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วหมู่บ้านก็มีการเผาน้อยเนื่องจากเป็นสวนผลไม้ ถ้ามีการตัดกิ่งผลไม้ก็จะเก็บไว้ทำเชื้อเพลิง และมีการปลูกข้าวโพดเล็กน้อย ชาวบ้านที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะตัดกองรวมกันและนำลำต้นข้าวโพดไปเลี้ยงวัว-ควาย มีการจัดตั้งกองทุนบำรุงป่าด้วยความสมัครใจ โดยชาวบ้านที่มีรายได้จากการขายหน่อไม้ไร่ก็จะนำเงินมาใช้ในการดูแลรักษาป่า ทำแนวกันไฟ ซึ่งปีที่ผ่านมามีกองทุนประมาณ 7,000-8,000 บาท

กองทุนชุมชนจัดการไฟ

ในการดำเนินการของชุมชนจัดการไฟ ต้องยอมรับว่าแผนการดำเนินการของชุมชนนั้นทำงานด้วย “จิตอาสา” โดยแท้ เพราะงบประมาณในการดำเนินการนั้นหลายชุมชนต้องออกเงินเอง และระดมทุนกันเอง เช่น การทำกองทุนบำรุงป่าของบ้านห้วยส้มสุก บ้านกาดฮาว อ.แม่ริม ปีที่ผ่านมาหลายชุมชนจะได้รับงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ บางพื้นที่ได้รับจากหน่วยงานป่าไม้ในพื้นที่ บางพื้นที่ได้งบจากเทศบาล เป็นต้น โดยรวม ๆ แล้วชุมชนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐมีตั้งแต่ 10,000 -50,000 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม ๆ ที่ชุมชนจะต้องใช้ในช่วงฤดูฝุ่นไฟประมาณ 5 เดือนอาจจะตกอยู่ประมาณ 100,000 บาท (ข้อมูลจากโหนด สสส. แฟล็กชิป และสภาลมหายใจเชียงใหม่) ค่าใช้จ่ายจะประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายก่อนถึงฤดูฝุ่น เช่น การทำแนวกันไฟที่จะต้องจ่ายค่าแรง ค่าอาหารคนในชุมชนที่มาร่วมทำแนวกันไฟ ค่าใช้จ่ายในช่วงฤดูฝุ่น ก็จะต้องมีทั้งค่าวัสดุอุปกรณ์ เช่น เครื่องเป่าลม น้ำมันเชื้อเพลิง รองเท้ากันไฟ เป้และกระบอกน้ำดื่ม อาหารและเครื่องดื่มสำหรับชุดที่ไปช่วยดับไฟป่า เป็นต้น

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ ของการริเริ่มทำงานของชุมชนที่เข้ามาร่วมจัดการไฟ และร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แม้โดยภาพรวมชุมชนทั้ง 20 ชุมชนจะช่วยดูแลป่าเมื่อนับรวมกันมีเพียง 191,346 ไร่ หรือคิดเป็น 1.99 เปอร์เซนต์ของพื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอยู่ประมาณ 9,614,645 ไร่ (ตัวเลขของส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่) แต่เชื่อว่าหากชุมชนทั้งจังหวัดเชียงใหม่มีแผน ริเริ่มทั้งจังหวัดปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็คงจะลดลงไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจจะละเลยภาคส่วนที่มีความสำคัญคือ ภาคคนในเมือง และภาคอุตสาหกรรมที่ก็มีส่วนในการก่อมลพิษจากยานพาหนะที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ของเมืองเชียงใหม่ เพราะไม่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีรองรับ เพราะปัญหาฝุ่น PM2.5 นั้นใหญ่เกินกว่าจะวางไว้บนบ่าของใคร หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั่นเอง

จากที่กล่าวข้างต้นว่า ปัจจุบันมีเพียง 20 หมู่บ้าน ที่มีแผนจัดการไฟแล้ว จาก 1,171 หมู่บ้านทั้งหมดในจังหวัดเชียงใหม่ หากคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และสนับสนุนการจัดการไฟป่าแบบยั่งยืนในพื้นที่เชียงใหม่ สามารถติดตามและร่วมสนับสนุนผ่าน Community Fire Fund (ชุมชนจัดการไฟ) ได้ที่ www.communityfire.fund แพลตฟอร์มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการทำงานของชุมชนในการจัดการไฟป่าแบบบูรณาการ ที่เชื่อมโยงการทำงานจากล่างขึ้นบน (Bottom-up) แทนการสั่งการแบบบนลงล่าง (Top-down) ที่ผ่านมา.

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง